สิว คือสภาวะปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนังและใบหน้าโดยทั่วไปทุกคนสามารถเป็นได้ เพราะสาเหตุของการเกิดสิวนั้นมีหลายปัจจัย อาทิ ความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ผลข้างเคียงของยาบางชนิด การสูบบุหรี่ ความเครียดและการดูแลผิวอย่างไม่ถูกวิธี ปัจจัยเหล่านี้ล้วนกระตุ้นให้เกิดสิวได้ทั้งสิ้น
สิว เมื่อเกิดขึ้นแล้วในขณะที่ยุบตัวลง อาจทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยดำหรือหลุมสิวที่หายยาก โดยเฉพาะหลุมสิวที่เกิดจากสิวอักเสบ ซึ่งหากขาดการรักษาที่ถูกต้องจะทำให้เกิด "โพรงหนอง" เกิดการยุบตัวของผิว และเกิดพังผืดขึ้นใต้รอยแผลเป็นนั้นๆ
สำหรับการรักษาหลุมสิว รอยดำ และรอยแดงบนใบหน้า มีวิธีรักษาด้วยกัน 3 วิธีใหญ่ๆ คือ
1. การรักษาด้วยการทายา เป็นการรักษารอยหลุมตื้นๆ
2. การรักษาด้วยการรับประทานยา เป็นยาที่สกัดจากอนุพันธ์ของวิตามินเอ หรือ RETINOIDS
3. การรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์ เป็นการรักษาที่เหมาะกับผู้ที่มีหลุมสิวขนาดใหญ่ที่ยากต่อการใช้ยาทาและรับประทานยา ซึ่งเป็นการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในปัจจุบันวิธีที่เห็นผลได้ชัดเจนและกำลังเป็นที่นิยม ก็คือการรักษาด้วยเครื่อง E-Matrix ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
E-Matrix คือนวัตกรรมที่นำพลังงานคลื่นความถี่วิทยุ (RF) มาทำให้เป็น Fractional beam และปล่อยพลังงานความร้อนเป็นจุดเล็กๆ ที่ชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และยังทำให้เกิดแผลบริเวณชั้นนอกน้อย ด้วยรูปแบบเป็นการส่งผ่านความร้อนลงผิวเป็นแบบปิรามิด ทำให้มีความร้อนปล่อยลงสู่ผิวชั้นลึกในปริมาณมาก E-Matrix จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาที่ยอดเยี่ยมและมีผลข้างเคียงน้อย
หลุมสิวแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้
1. Ice Pick Scar (ระดับรุนแรงมาก) หลุมสิวระดับนี้จัดเป็นหลุมลึก มีปากแคบ รักษาได้ยากมากกว่าผิวจะฟื้นฟูจนเต็มที่ ต้องใช้เวลานานในการรักษา ซึ่งหลุมระดับนี้การใช้ยาทามักจะเอาไม่อยู่ ทำได้แค่ช่วยให้รอยหลุมดูตื้นขึ้นมาเท่านั้น
2. Box Scar (ระดับรุนแรงปานกลาง) หลุมสิวนี้มีลักษณะเป็นบ่อ มีขอบชัดเจนและมีขอบเขตกว้างกว่าระดับ Ice pick scar แต่จะมีความตื้นมากกว่า เพราะมันจะกินความลึกแค่ชั้นผิวเท่านั้น หลุมสิวระดับนี้สามารถใช้ยาทาควบคู่ไปกับการทำทรีตเมนท์ได้
3. Rolling Scar (ระดับทั่วไป) หลุมสิวระดับนี้จะมีลักษณะเป็นหลุมสิวแบบตื้นๆ เป็นแอ่งเว้าลงไป กินพื้นที่แค่ส่วนบนของผิวเพียงเล็กน้อย ทำการรักษาได้ง่ายกว่าระดับอื่นๆ สามารถใช้ยาทาในการเติมเต็มเนื้อผิวได้
ข้อดีของการรักษาด้วย E-Matrix
1. E-Matrix สามารถปรับระดับความลึกและความแรงของพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพผิวที่ต่างกันได้ถึง 3 ระดับ
2. ด้วยพลังงานแบบปิรามิดทำให้มีความร้อนปล่อยลงสู่ผิวชั้นลึกในปริมาณมาก ช่วยทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ
3. พลังงาน RF จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน จนเกิดการผลัดเชลล์ผิวช่วยฟื้นฟูหลุมสิวได้อย่างอ่อนโยน
4. E-Matrix ใช้หัวทิปทองคำแท้ ซึ่งเป็นวัสดุที่นำกระแสไฟฟ้าได้ดีที่สุด ไม่เกิดเขม่าหรือสนิม และเกิดอาการแพ้ได้น้อย
5. ขั้นตอนการรักษาไม่ยุ่งยาก
6. ใช้เวลาในการรักษาไม่นาน เพียง 10-20 นาทีเท่านั้น
7. ไม่ต้องพักฟื้น ใช้ชีวิตได้ตามปกติ
การทำ Subcision (เลาะพังผืดใต้ผิว) ควบคู่กับการทำ E-Matrix
หลายคนอาจเคยได้ยินวิธีการ Subcision หรือการเลาะพังผืดใต้ชั้นผิวหนังกันมาบ้าง วิธีนี้แพทย์จะใช้เข็มลักษณะพิเศษที่มีคุณสมบัติในการตัดผิวหนังที่ โดยแพทย์จะสอดเข็มลงไปใต้ผิวหนังเพื่อทำการตัดพังผืด แล้วทำการเซาะทีละหลุมๆ ค่อยๆ ทำไปจนทั่วใบหน้า หลังจากนั้นหลุมสิวก็จะตื้นขึ้น เมื่อทำควบคู่ไปกับการทำ E-Matrix จะยิ่งส่งผลทำให้เห็นผลได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
การเตรียมตัวก่อนทำ E-Matrix
1. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ ก่อนทำอย่างน้อย 1 สัปดาห์
2. งดแต่งหน้าเมื่อถึงวันกำหนดนัดทำ E-Matrix
การเตรียมตัวก่อนทำ E-Matrix
1. หลังการรักษาควรทาอโลเวร่าเจล เพื่อบรรเทารอยแดง และอาการร้อนบริเวณผิว จะค่อยๆ ดีขึ้นประมาณ 3 ชั่วโมง เนื่องจากพลังงานจำนวนมากที่ลงไปกระตุ้นบริเวณผิวด้านล่าง
2. หลังรับการรักษางดล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าเป็นเวลา 2 วัน เพื่อป้องกันการอักเสบและการระคายเคืองต่อผิว แนะนำให้ใช้สำลีชุบน้ำสะอาดค่อยๆเช็ดแทน
3. งดแต่งหน้า ภายใน 3 วันหลังทำ เพื่อป้องกันการอักเสบและการระคายเคืองต่อผิว
4. หลังการรักษา 3 วัน จะเกิดสะเก็ดบางๆ เป็นจุดไข่ปลา ปล่อยให้สะเก็ดหลุดลอกไปเองห้ามแกะหรือเกา หลังจากนั้นสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ
5. งดบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และของหมักดองทุกชนิด 1 สัปดาห์
6. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ เป็นเวลา 1 เดือน
ประมาณ 4 สัปดาห์หลังทำ จะเริ่มสังเกตเห็นว่ารูขุมขนกระชับ ผิวหน้าเรียบเนียน รอยหลุมสิวตื้นขึ้นและดูจางลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ครั้งแรก และเพื่อผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น แนะนำให้ทำการรักษา 4 ครั้ง ห่างกัน 6 สัปดาห์ เมื่อครบคอร์สแล้วสามารถมาทำซ้ำได้ทุก 6 เดือน